ในชีวิตประจำวันเราคงพบเห็นวัตถุดูดความชื้น หรือ ซองกันชื้นกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งคุณรู้หรือไม่ว่า “ความชื้น” มันสร้างปัญหาให้มนุษย์มากขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร, เสื้อผ้า, เครื่องใช้ไฟฟ้า,หรือสินค้าอุตสาหกรรมต่างๆ ความชื้นที่สะสมมากเกินไปก่อให้เกิด เชื้อรา การเสื่อมสภาพของวัตถุ เพราะฉะนั้น “วัตถุดูดความชื้น” จึงถูกนำมาใช้ในโลกธุรกิจอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
วันนี้เราอยากชวนทุกท่านมารู้จักกับ วัตถุดูดความชื้น ให้มากขึ้นรวมถึงในแง่มุมต่าง ๆ ว่าคุณสมบัติ หลักการทำงาน และหากเราจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ แม้กระทั่งต่อยอดไปใช้ในธุรกิจของคุณเอง เราจำเป็นต้องรู้อะไรบ้าง
การทำงานของ วัตถุดูดความชื้น
วัตถุดูดความชื้น หรือ ซองกันชื้น จะทำหน้าที่ดูดซับความชื้นจากบรรยากาศและกักเก็บไว้ในตัวเอง (เม็ดหรือเนื้อสารกันชื้น) การบรรจุซองวัตถุดูดความชื้นเข้าไว้ในหีบห่อสินค้าจะช่วยลดเปอร์เซ็นต์ความชื้นของอากาศในหีบห่อให้ลดลง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายกับสินค้าได้
วิธีใช้ วัตถุดูดความชื้น ให้มีประสิทธิภาพ
ความชื้นในอากาศมีโอกาสศที่จะสัมผัสและ สร้างความเสียหายให้กับสินค้าในหีบห่อได้ 3 ทางคือ
- อากาศแทรกเข้าไปในหับห่อจากภายนอก
- อากาศแทรกอยู่ภายในหีบห่อขณะบรรจุ
- สินค้ามีการคลายความชื้นออกมา
ดังนั้นหากจะใช้วัตถุดูดความชื้นให้ได้ผล จะต้องบรรจุสินค้าพร้อมวัตถุดูดความชื้นในขั้นตอนบรรจุเลย และจะต้องบรรจุหีบห่อให้ปิดสนิท ไม่มีรอยรั่วให้อากาศแทรกเข้าไปในหีบห่อหรือบรรจุภัณฑ์ได้ (ซึ่งการเลือกหีบห่อหรือบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสินค้าก็มีส่วนสำคัญอย่างมาก)
ประเภทของ “วัตถุดูดความชื้น”
วัตถุดูดความชื้นแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
- ซิลิก้า เจล : สกัดจากทรายขาวผสมกรดกำมะถัน มีลักษณะเป็นเม็ดกลมใส และ สีเม็ดน้ำเงิน
- แคลเซี่ยมออกไซด์ : ผลิตจากไลม์สโตน หรือ ปูนขาวมีลักษณะเป็นผงละเอียดสีขาว
- เคลย์ : ผลิตจากดินธรรมชาติ มอนต์โมริลโลไนด์ (Montmorillonite) มีลักษณะคล้ายกรวด, เม็ดกลม ขนาดเล็กสีเทา-ขาว หรือ สีน้ำตาล
“วัตถุดูดความชื้น” ที่ดีควรผลิตจากสารธรรมชาติ
สารที่สกัดจากธรรมชาตินอกจากไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสภาพแวดล้อม แถมยังใช้ความเป็นธรรมชาติในตัว สร้างประสิทธิภาพในการดูดความชื้น และกักเก็บความชื้นได้มากกว่า วัตถุดูดความชื้น ที่สังเคราะห์จากเคมี ความเป็นรู้พรุนนับล้านในแต่ละอนูจะสามารถดูดซับและกักเก็บความชื้นไว้ได้มากมายจากธรรมชาติเอง เราจะสรุปเป็นหัวข้อให้ว่า ทำไมถึงควรใช้ วัตถุดูดความชื้นจากสารธรรมชาติ
- ไม่เป็นอันตราย หากมีการพลั้งรับประทานเข้าไป
- ให้ความปลอดภัยเมื่อซองบรรจุวัตถุดูดความชื้นจำเป็นต้องสัมผัสกับอาหาร หรือ สินค้าโดยตรง
- สามารถทิ้งวัตถุดูดความชื้นได้โดยไม่ต้องกังมลเรื่องมลพิษ (สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ)
อุตสาหกรรมที่ใช้ “วัตถุดูดความชื้น”
- อาหารแห้ง อาหารแช่แข็ง ขนมอบกรอบ ลูกอมต่าง ๆ
- ยา อาหารเสริม วิตามิน
- เครื่องมือแพทย์ เฟอร์นิเจอร์ และหนัง
- อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า
- ชิ้นสวนรถยนต์ สินค้ายายยนต์ต่าง ๆ
- ภายในตู้คอนเทนเนอร์ นำเข้า-ส่งออกต่าง ๆ
ข้อสังเกตการใช้ “วัตถุดูดความชื้น”
หากเลือกใช้วัตถุดูดความชื้นให้ตรงกับประเภทสินค้า หรือการบรรจุวัตถุดูดความชื้นแบบ ไม่สัมผัสกันโดยตรง ลักษณะนี้อาจไม่เป็นกังวลอะไรมากนัก ถ้าหากจำเป็นต้องบรรจุซองดูดความชื้นให้สัมผัสกับสินค้าโดยตรง (ส่วนใหญ่จะเป็นอาหาร) จำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษควรตั้งข้อสังเกตดังนี้
- เลือกใช้วัตถุดูดความชื้นชนิดที่ผลิตจากสารธรรมชาติ
- เลือกซื้อหรือขอคำปรึกษาจากผู้ขายที่ได้รับมาตรฐานสากล มีเอกสารยืนยันตัวตนที่ชัดเจน (เลข อย.สำคัญมาก)
- หลีกเลี่ยงการใช้วัตถุดูดความชื้นที่มีสาร แคลเซี่ยมออกไซด์ เพราะสารแคลเซี่ยมออกไซด์จะมีการเสื่อมสภาพ และละลายซึมออกจากซองบรรจุปนเปื้อนกับสินค้าซึ่งก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้งาน
- ได้รับรองมาตรฐานสากล อาทิ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และการรับรองอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นธุรกิจที่ต้องการส่งออกสินค้าไปแถบตะวันออกกลาง การได้รับการรับรองจาก ฮาลาล ก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก (จำเป็นอย่างมาก)
สรุป
การจะให้ “วัตถุดูดความชื้น” ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น นอกจากตัววัตถุดูดความชื้นที่ต้องมีประสิทธิภาพแล้ว ชนิดของบรรจุภัณฑ์ก็มีส่วนสำคัญด้วยเช่นเดียวกัน บรรจุภัณฑ์ที่ดีนั้นต้องไม่ขัดขวางการทำงานของวัตถุดูดความชื้น เช่นว่าตัวบรรจุภัณฑ์ต้องป้องกันไม่ให้วัตถุดูดความหลุดออกมา หรือ เคลื่อนไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมในพื้นที่บรรจุภัณฑ์
การใช้วัตถุดูดความชื้นให้มีประสิทธิภาพสูงสุดจำเป็นต้องปรึกษาผู้ขายที่มีใบรับรองที่ได้มาตรฐาน และผู้ขายมีประสบการณ์ในการให้บริการ
การเลือกซื้อ วัตถุดูดความชื้น ไปใช้ด้วยตนเองต้องพีงระวังเรื่องความเหมาะสมและความปลอดภัยในการใช้งานด้วย
Go-kyodai เรายินดีให้คำปรึกษาฟรี : Inboxสอบถาม หรือ โทร.094-820-5260